การกลับมาคุมทีมเรอัล มาดริดเป็นรอบที่สองของซีเนอดีน ซีดาน นั้นอาจจะไม่ยาวนานอย่างที่ต่างพากันคาดหวังเอาไว้เสียแล้ว หลังจากล่าสุดซีดานก้าวผ่านความกดดันสุด ๆ กับการต้องเก็บสามแต้มให้ได้เท่านั้นในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้ายที่ต้องรับการมาเยือนของทีมแกร่งแห่งบุนเดสลีกาเยอรมันอย่างโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ก่อนที่ราชันชุดขาวจากลา ลีกาสเปนจะเปิดบ้านทุบสิงห์หนุ่มแห่งเมืองเบียร์ไปได้สำเร็จ 2-0 พร้อมตบเท้าเข้ารอบน็อคเอาท์ไปในฐานะแชมป์กลุ่มเมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจบ
เกมดังกล่าว ซีดาน ก็เปรย ๆ ออกมาว่าตนคงไม่อยู่คุมทีมได้นานจนเป็นระดับตำนาน
อย่างที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำเอาไว้กับทีมยักษ์หลับในพรีเมียร์ลีกอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนหน้านี้ตำแหน่งกุนซือราชันชุดขาวของซีดานสั่นคลอนไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่ซีดานพาทีมทำผลงานได้ไม่แจ่มเท่าที่ควรจนทำให้มีข่าวลือออกมาหนาหูว่าซีดานอาจโดนเด้งจากเก้าอี้กุนซือในไม่ช้า แต่สุดท้ายซีดานก็สอบผ่านบททดสอบสุดหินด้วยการคว้าชัยในลา ลีกาจากการบุกเชือดเซบีย่า 1-0 ตามติดมาด้วยผลงานการพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลนี้ไปได้ตามเป้า
สำหรับสาเหตุหลักที่อาจทำให้ซีดานต้องอำลาถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาบิวนั้นมันก็มาจากการที่มีความขัดแย้งกับบอร์ดบริหาของเรอัล มาดริด หลังจากที่ทางทีมราชันชุดขาวไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนที่ดึงซีดานกลับมาคุมทีมอีกครั้งว่าจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายซีดานก็ต้องผิดหวังเป็นอย่างยิ่งเมื่อไม่ได้นักเตะที่เขาต้องการอย่างซาดิโอ มาเน่, ปอล ป๊อกบา และเอดูอาร์โด้ กามาวินก้ามาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งงานนี้ซีดานเอาจริงเอาจังถึงขึ้นจับเข่าคุยกับประธานสโมสรอย่างฟลอเรนติโน่ เปเรสเลยทีเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้นสัญญาการกุมบังเหียนราชันชุดขาวของซีดานนั้นจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์ปี 2022 และตอนนี้ก็เป็นงานหินไม่น้อยเลยของซีดานที่จะพาเรอัล มาดริดป้องกันแชมป์ลา ลีกา เนื่องจากตอนนี้แอตเลติโก้ มาดริดรั้งจ่าฝุงอยู่และมีคะแนนทิ้งห่างลูกทีมของซีดานอยู่ 6 แต้มแถมทีมตราหมีแห่งแดนกระทิงดุยังมีคิวเตะน้อยกว่าอีกหนึ่งนัดต่างหาก ขณะที่ขุมกำลังของเรอัล มาดริดยังไม่แกร่งพอมีทั้งรอยรั่วและบ่อน้ำมันเพียบ